วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันภาษาไทยแห่งชาติ

วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บูรณาการข้าวไทย

ชาวนาล้อมวงบูรณาการข้าวไทย
เม็ดข้าวสุกบนจานร้อน มีระยะเดินทางเพียงแค่ช่วงแขนเดียวก็เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
แต่การเดินทางของข้าวจากมือชาวนา กว่าจะหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนดิน กว่าจะงอกงามมาเป็นรวงข้าวเหลืองทองอร่าม ต้องอาศัยเวลาและองค์ประกอบหลายอย่างมากมาย
ทั้งแรงกาย แรงใจของชาวนา ทั้งดิน น้ำ อากาศที่เหมาะสมลงตัว
ข้าวแต่ละเม็ดจึงเปรียบได้กับหยดเหงื่อชาวนาผสมกับหยาดน้ำฝนจากสวรรค์ แต่ทุกวันนี้คนปลูกข้าวเลี้ยงดูผู้คนทั้งประเทศ (และอาจจะทั้งโลกก็ว่าได้) กลับมีสภาพชีวิตไม่ต่างพลเมืองชั้นล่าง
มูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี และสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตระหนักถึงความสำคัญของชาวนา และรู้คุณค่าของข้าว จึงเชิญชาวนาจากหลายพื้นที่มาร่วมเคลื่อนไหว "การพัฒนาพันธุ์ข้าว" เพื่อต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ในวงสนทนาได้ถกประเด็นความรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าว ความสำคัญต่อชาวนาและการเกษตรของประเทศ ถ้าชาวนามีความรู้ความสามารถในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ขึ้นใช้เอง หรือแลกเปลี่ยนกัน จะเป็นประโยชน์ต่อการเกษตรยั่งยืนและเศรษฐกิจแบบพอเพียงอย่างมหาศาล
สารพัดปัญหาพันธุ์ข้าวในประเทศไทยได้รับการหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง อาทิ เมล็ดพันธุ์ราคาแพง เกิดการปลอมปน ไม่ได้คุณภาพ ขาดทักษะในการพัฒนาพันธุ์ข้าว เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพถูกผูกขาดโดยภาคเอกชน ขาดแหล่งรวบรวมและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว เป็นต้น
เช่นเดียวกัน ปัญหาสำคัญอีกอย่างของการปลูกข้าว คือ เมื่อชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ดีไว้นานๆ จะพบว่าข้าวเหล่านั้นกลายพันธุ์ อันเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ตามธรรมชาติ เนื่องจากมีการปลูกข้าวหลายสายพันธุ์ในพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อข้าวออกดอกพร้อมกัน แมลง ลม จะพัดพาเกสรของดอกข้าวไปผสมข้ามพันธุ์ หรือเกิดจากข้าวพันธุ์นั้นกลายพันธุ์ด้วยตัวเอง
รวมทั้งสาเหตุจากข้าวพันธุ์อื่นปนมากับเครื่องนวดข้าว ยุ้งฉาง หรือภาชนะบรรจุที่มีเมล็ดข้าวเก่าตกค้างปะปนในขณะตกกล้า หว่าน เก็บเกี่ยว นวด ตาก
การปรับปรุงพันธุ์ข้าว จึงเป็นทางเลือกของชาวนาที่จะให้ได้พันธุ์ข้าวตรงตามความต้องการ และเป็นการรักษาพันธุ์ข้าวไม่ให้กลายพันธุ์
"ชาวนาบ้านเราส่วนใหญ่เน้นการปลูกเพื่อขาย ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แล้วขายหมด โดยไม่เก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ แล้วซื้อเมล็ดพันธุ์อีก กลายเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด"
ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง อายุ 60 ปี เกษตรกรดีเด่นแห่งอ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ผู้ใช้เวลากว่าค่อนชีวิตทุ่มเทกับการพัฒนาพันธุ์ข้าว ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง
"ปัญหาการกลายพันธุ์ของข้าวที่ชาวบ้านมักประสบ เวลานำไปสีข้าว ปริมาณน้ำหนักข้าวจะลดลงกว่าปกติ เวลาหุงรับประทาน รสชาติเปลี่ยนไป ปริมาณสารอาหารที่มีคุณค่าลดน้อยลง ล้วนเกิดจากการกลายพันธุ์ทั้งสิ้น"
ลุงทองเหมาะ แนะหลักการในการคัดเลือกข้าวเพื่อปรับปรุงพันธุ์ ว่า เราต้องรู้จักลักษณะพันธุ์ข้าวที่น่าสนใจ เช่น ลักษณะลำต้น สี อายุ รสชาติ ความต้องการน้ำ และแสง เช่น ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวเจ้าไวแสง หรือข้าวปี เปลือกสีฟาง ข้าวสารสีขาวใส เมล็ดยาว ไม่เป็นท้องไข่ หรือท้องปลาซิว คอรวงยาว เวลาหุงมีกลิ่นหอม นุ่ม รสชาติอร่อย เป็นต้น
ขั้นตอนการคัดพันธุ์ข้าวจากรวง ลุงทองเหมาะ ชี้แนะว่า ควรเกี่ยวพันธุ์ข้าวที่ต้องการในแปลงนา โดยเลือกต้นที่ห่างจากพันธุ์อื่นๆ 1-2 เมตร ตามปริมาณที่ต้องการ จากนั้นนำรวงข้าวที่เกี่ยวได้ ไปผึ่งแดด 2-3 แดด ก่อนคัดเลือกรวงที่มีลักษณะรวงใหญ่ ยาว เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของโรค หรือแมลงรบกวน นำรวงที่คัดเลือกแล้วมานวดรวมกัน ตากแดด แล้วจัดเก็บเพื่อนำไปขยายพันธุ์
ส่วนการป้องกันมิให้เมล็ดข้าวกลายพันธุ์ ทำได้โดยการจัดแบ่งพื้นที่สำหรับปลูกข้าวพันธุ์ที่ต้องการโดยเฉพาะ ระหว่างการเจริญเติบโต หากเห็นต้นข้าวพันธุ์อื่นขึ้นมาปน ให้ถอนทิ้งออกไปทันที ช่วงข้าวเป็นรวง หากเห็นรวงที่ไม่ตรงตามลักษณะพันธุ์ข้าวที่ต้องการ ก็ให้ถอนต้นนั้นทิ้ง
ในการเก็บเกี่ยวเพื่อทำพันธุ์ ให้เกี่ยวรวงข้าวที่อยู่ห่างจากขอบแปลงข้างละ 1 เมตร เพื่อป้องกันการปนกับข้าวอื่นๆ เมื่อนำไปนวด หรือตาก ควรทำความสะอาดเครื่องนวด หรือลานตากทุกครั้ง การทำเช่นนี้ 1-2 ฤดูกาลผลิต ชาวนาจะสามารถรักษาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีไว้ได้ หรืออาจได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่จากการคัดเลือกได้
"สุดยอดของพันธุ์ข้าวในเมืองไทย คือ หอมมะลิ 105 แต่ด้วยวิถีภูมิปัญญาไทย เราได้คัดพันธุ์ข้าวหอมมะลิแดงได้ โดยคัดแต่เมล็ดแดง ในรวงข้าวหอมมะลิ เมื่อรวบรวมได้ จึงนำมาปลูกเป็นผลสำเร็จ ข้าวหอมมะลิแดง มีลักษณะคล้ายข้าวกล้องทั่วไป แต่มีกลิ่นหอมแบบข้าวหอมมะลิธรรมดา และมีคุณค่าทางอาหารสูง
"ต่อมาได้ปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ โดยนำข้าวพันธุ์ไทยธรรมดา (พันธุ์ปทุมธานี 1) มาผสมพันธุ์กับข้าวหอมมะลินาปี และข้าวหอมมะลินาปรัง กลายเป็นสุดยอดพันธุ์ข้าวในชื่อว่า หอมมะลิ 3 ทาง
"ขณะนี้ ผมได้ทดลองนำพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 3 ทาง มาผสมกับข้าวพันธุ์พม่า ซึ่งมีเม็ดสั้นขนาด 5 มิลลิเมตร แต่พอหุงขนาดความยาวจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 มิลลิเมตร ผมตั้งสมมติฐานว่า ข้าวพันธุ์พม่าพอมาผสมกับข้าวหอมมะลิ 3 ทาง จะได้เมล็ดพันธุ์ข้าวชั้นเลิศ หุงขึ้นหม้อ เพิ่มขนาดทั้งความกว้าง และยาว โดยอยู่ในขั้นทดลองปลูกในนา
"คาดว่าอีก 3 เดือนข้างหน้า เมื่อได้ข้าวออกรวง ผมจะนำมาหุง เพื่อทดลองชิม หากประสบความสำเร็จ ข้าวชนิดนี้ คงจะกลายเป็นสุดยอดพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุด แทนที่หอมมะลิ 105 อย่างแน่นอน"
ลุงทองเหมาะกล่าวบรรยายอย่างอารมณ์ดี
มีข้าวมีคุณภาพ ชาวนาก็มีความสุข

ปุ๋ยจากเศษอาหาร

การทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ จากเศษอาหาร
      ทุกครัวเรือน ร้านอาหาร ภัตตาคาร ฯลฯ ล้วนมีเศษอาหารที่เป็นผักผลไม้ และเศษอาหารอื่น ๆ จำนวนมากน้อยแล้วแต่สถานที่ สามารถนำไปหมักเป็นปุ๋ยหมักชั้นเลิศ เพื่อใส่พืชผักและผลไม้ที่ปลูกไว้ได้
อุปกรณ์
- ถังพลาสติกมีฝาปิดขนาด 20 – 200 ลิตร แล้วแต่ปริมาณเศษอาหารที่จะได้หรือต้องการ เจาะรูติดก๊อกน้ำบริเวณก้นถัง เพื่อไว้ระบายน้ำปุ๋ยหมัก ใช้ก๊อกให้มีขนาดโตพอสมควร เพื่อป้องกันการอุดตัน
- ถุงขยะพลาสติกสีดำ เจาะรูเล็ก ๆ 2 – 3 รู เพื่อให้น้ำปุ๋ยหมักผ่านทะลุได้ หรือจะใช้ตาข่ายไนล่อนตาถี่เย็บเป็นถุงก็ได้ หรือจะใช้กระสอบปุ๋ยน้ำซึมผ่านได้ก็ใช้ได้
- นำเอาถุงใส่ปุ๋ยที่เตรียมไว้ ใส่ลงในถังหมักปุ๋ยที่มีวัสดุรองก้นถัง ให้สูงจากระดับก๊อกน้ำเล็กน้อย
- ใช้กากน้ำตาล 20 – 40 ซีซี ใส่คลุกกับเศษอาหาร 1.. และใส่จุลินทรีย์ EM ขยาย  10 – 20 ซีซี คลุกอีกครั้ง ใส่ลงในถุงใส่ปุ๋ยทุกวันจนเต็มถุง
- ปิดฝาถังหมักไว้ตลอดเวลา หมักไว้อย่างน้อย 7 วัน ก็จะมีน้ำปุ๋ยหมักซึมออกมา อยู่ที่ก้นถังหมัก
- ไขก๊อกเอาน้ำปุ๋ยหมักที่ได้ไปผสมน้ำในอัตรา 1 : 500 – 1,000 รดพืชและต้นไม้ทุก ๆ วัน
- ผสมน้ำปุ๋ยหมักกับอัตราส่วน 1 : 20 – 50 หรือไม่ผสมก็ได้ราดพื้นห้องส้วมชักโครกหรือจุดที่มีกลิ่นเหม็นบริเวณบ้าน หรือราดในท่อน้ำทิ้งเพื่อดับกลิ่นก็ได้ผลดี
- กากอาหารที่เหลือก็สามารถไปคลุมกับดินเป็นปุ๋ยต้นไม้ได้ดี
ข้อสังเกต
ถ้าหมักได้ที่จะไม่มีแมลงวันหรือมีกลิ่นเหม็น แต่กลิ่นจะหอมอมเปรี้ยว
ถ้ามีกลิ่นเหม็นและมีกลิ่นก๊าซแอมโมเนีย แสดงว่าหมักไม่ได้ผล
ระหว่างหมักอาจจะมีหนอนแมลงวันเกิด แต่มันไม่กลายเป็นแมลงวัน จะเป็นหนอนตัวโตกว่าปกติ มีอายุอยู่นานได้หลาย ๆ วัน แล้วจะตายไปเอง

ปุ๋ยหมักจากพืชสด

ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการไถกลบ ต้น ใบ และส่วนต่างๆของพืช โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว ในระยะช่วงออกดอก ซึ่งเป็นช่วงที่มีธาตุอาหารสูงสุด แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง ย่อยสลายเป็นอาหารแก่พืชที่จะปลูกตามมา พืชที่ใช้ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสด ได้แก่ โสนอินเดีย ปอเทือง อัญชัน ไมยราพไร้หนาม พืชตระกูลถั่วต่างๆ เป็นต้น
พืชที่ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสด สิ่งที่เกษตรกรคุ้นเคยมากในการเพิ่มผลผลิตพืชก็คือ การใช้ปุ๋ยเคมี แต่การใช้ปุ๋ยเคมีเพียง อย่างเดียว โดยไม่มีการเพิ่มอินทรียวัตถุ ให้แก่ดิน จะทำให้ดินสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไปอย่างรวดเร็ว ดินจะแข็งไม่ร่วนซุย ดูดซับน้ำ และแร่ธาตุอาหารพืช ได้น้อยลงทำให้การปลูกพืชไม่ได้ผลหรือได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร

ประโยชน์ของปุ๋ยพืชสด

  1. เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
  2. เพิ่มธาตุไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักให้แก่พืช
  3. กรดที่เกิดจากการผุพังของพืชสด ช่วยละลายธาตุอาหารในดินให้แก่พืชได้มากยิ่งขึ้น
  4. บำรุงและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
  5. รักษาความชุ่มชื้นในดินและให้ดินอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
  6. ทำให้ดินร่วนซุย สะดวกในการเตรียมดินและไถพรวน
  7. ช่วยในการปราบวัชพืชบางชนิดได้เป็นอย่างดี
  8. ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้บางส่วน
  9. ลดอัตราการสูญเสียดินอันเกิดจากการชะล้าง
  10. เพิ่มผลผลิตของพืชให้สูงขึ้น

ลักษณะทั่วไปของพืชปุ๋ยสด

  1. ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ระบบรากแข็งแรง ออกดอกในระยะเวลาอันสั้น คือประมาณ 30 – 60 วัน
  2. สามารถให้น้ำหนักพืชสดสูง ตั้งแต่ 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นไป
  3. ทนแล้งและทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล
  4. มีความต้านทานต่อโรคและแมลง
  5. สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้มาก และขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว เพื่อให้ทันและเพียงพอต่อความต้องการ เมล็ดงอกง่ายและมีเปอร์เซนต์ความงอกสูง
  6. ทำการเก็บเกี่ยว ตัดสับและไถกลบได้ง่าย ไม่ควรเป็นเถาเลื้อยมากเพราะจะทำให้ไม่สะดวกแก่การไถกลบ
  7. ลำต้นอ่อน เมื่อไถกลบแล้วเน่าเปื่อยผุพังได้เร็วและมีธาตุอาหารพืชสูง

การปลูกพืชปุ๋ยสด

  1. ลักษณะของดิน ก่อนปลูกควรปรับปรุงสภาพของดินให้เหมาะสม เช่นถ้าเป็นดินเปรี้ยวควรใส่ปูนลงไปก่อน จะช่วยให้พืชสดเจริญเติบโตและให้น้ำหนักพืชสดสูงด้วย
  2. เวลาและฤดูกาลที่ปลูก เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ปลูกช่วงต้นฤดูฝน หรือปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวพืช ซึ่งความชื้นในดินยังคงมีอยู่ หรือปลูกก่อนการปลูกพืชหลัก ประมาณ 3 เดือน
  3. เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ที่ใช้ปลูกเพื่อไถกลบในพื้นที่ 1 ไร่ ควรใช้อัตราเมล็ดดังนี้ ปอเทือง 5 กก., โสนอินเดีย 5 กก., โสนคางคก 5 กก., โสนไต้หวัน 5 กก., ถั่วพร้า 5 กก., ถั่วเขียว 5 กก., ถั่วเหลือง 8 กก., ถั่วพุ่ม 8 กก., ถั่วนา 8 กก., ถั่วลาย 2 กก., ถั่วเสี้ยนป่า 2 กก., ไมยราพไร้หนาม 2 กก., ถั่วเว็ลเว็ท 10 กก., คาโลโปโกเนียม 2 กก., อัญชัน 3 กก.,

วิธีการใช้พืชปุ๋ยสด

วิธีการใช้พืชปุ๋ยสด สามารถแบ่งการใช้ได้ 3 วิธี คือ
  1. ปลูกพืชสด ในพื้นที่แปลงใหญ่ แล้วทำการตัดสับและไถกลบลงไปในพื้นที่นั้นเลย
  2. ปลูกพืชสดแซมในระหว่างร่องพืชหลักที่ทำการปลูก โดยปลูกพืชสดหลังจากพืชหลักเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
  3. ปลูกพืชสดในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า แล้วตัดสับเอาส่วนของพืชสดนำมาใส่ในแปลงที่จะปลูกพืชหลักแล้วไถกลบลงไปในดิน

การตัดสับและไถกลบพืชสด

การตัดสับและการไถกลบพืชสดนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึงอายุของพืชสดเป็นสำคัญ ระยะเวลาที่เหมาะสม ในการตัดสับ และไถกลบ ควรทำขณะที่ต้นถั่ว เริ่มออกดอกไปจนถึงระยะดอกบานเต็มที่ เนื่องจากในระยะนี้ต้นถั่วเจริญงอกงามสูงสุด เมื่อไถกลบแล้วจะทำให้ปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุไนโตรเจนสะสมอยู่ในดินสูงด้วย
ชนิดพืชสด

อายุการตัดสับและไถกลบ (วัน)

น้ำหนักสดที่ได้ (ตัน/ไร่)

ธาตุไนโตรเจน (กก./ไร่)
ปอเทือง
ถั่วพุ่ม
ถั่วนา
ถั่วเหลือง
ถั่วเขียว
โสนจีนแดง

75 – 90

40 – 50

60 – 75

50 – 6

40 – 50

75 – 90

3 – 4

2 – 3

3 – 4

1.5 – 2

2

3 – 4

15 – 20

20

20

5

5 – 6

7 – 8


วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด

 

น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดส่วนผสม 1. เปลือกสับปะรด 5 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
วิธีทำ นำเปลือกสับปะรดหั่นหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่
น้ำตาลทรายแดงคลุกเคล้าให้ทั่ว เติมน้ำลงไปให้ท่วม ใส่ถัง
ปิดฝาให้สนิท ตั้งไว้ในที่ร่มอย่าให้ถูกแดด นาน 7 - 10 วัน
จึงนำมาใช้ได้
(กรณีใช้น้ำประปาต้องรองทิ้งไว้สัก 2 วัน เพื่อให้คลอรีน
ระเหยเสียก่อน)




ขั้นตอนการทำ


1. นำเปลือกผลไม้มาหันเป็นชิ้นเล็กๆ
                                                               
2. ผสมน้ำตาลทรายแดงและหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้าด้วยกัน

3.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ถังแล้วปิดฝาให้สนิท วางไว้ในที่ร่ม
ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด
1. น้ำหมักชีวภาพผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 เทลงในท่อระบายน้ำ ช่วยดับกลิ่นเหม็นได้
2. น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างภาชนะที่มีคราบไขมัน ช่วยให้ ล้างง่ายขึ้น และลดปริมาณการใช้น้ำยาทำความสะอาด
3. น้ำหมักชีวภาพใช้เทลงในโถส้วม ท่อระบายน้ำ ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างทำความสะอาดพื้นห้องสุขา ลดกลิ่นเหม็นและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้
4. น้ำหมักชีวภาพใช้เทลงในท่อระบายน้ำทิ้งจากโรงอาหารช่วยขจัดคราบไขมันอุดตันตามท่อน้ำทิ้ง ช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้าง ลดการบูดเน่าและกลิ่นเหม็นได้ ปรับสภาพน้ำทิ้งให้ดีขึ้น ก่อนปล่อยลงท่อน้ำทิ้งของเทศบาล
5. น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ให้ฉีดพ่นบริเวณที่มีกลิ่นอับชื้น ช่วยลดกลิ่นเหม็นอับ และทำให้อากาศสดชื่นหรือใช้ถูพื้นอาคารที่เป็นกระเบื้อง หินขัด ทำให้พื้นสะอาดเป็นเงางาม
6. น้ำหมักชีวภาพเทลงในถังเกรอะ หรือโถส้วม ช่วยลดปัญหาส้วมเต็มกลิ่นเหม็นอืดได้
7. กากที่เหลือจากการหมักนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพได้ โดยนำไปผสมกับเศษกิ่งไม้ ใบไม้
เศษหญ้า ปุ๋ยคอก แล้วราดด้วยน้ำหมักชีวภาพ คลุกเคล้าให้เข้ากัน คลุมด้วยผ้าพลาสติกทิ้งไว้
ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะย่อยสลายเปื่อยยุ่ย นำไปใช้ได้

น้ำส้มควันไม้

  • การใช้ประโยชน์จากน้ำส้มควันไม้และถ่านในการเกษตร

    -ในการใช้น้ำควันไม้ร่วมกับสารเคมีกำจัดแมลง จะสามารถลดปริมาณการใช้สารเคมีให้น้อยลงถึงครึ่งหนึ่ง  จากที่เคยใช้อยู่เดิมน้ำควันไม้เมื่อใช้ร่วมกับสารเคมีจะส่งเสริมคุณสมบัติความสามารถให้กัน  ซึ่งน้ำควันไม้สามารถป้องกันและไล่แมลงศัตรูพืชได้
    -เมื่อใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะสามารถมีบทบาททำงานร่วมกันกับปุ๋ยเคมี ช่วยให้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    -ผสมน้ำน้ำส้มควันไม้กับน้ำให้เจือจาง 1 ต่อ 500 – 1,000(น้ำควันไม้ 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร) ฉีดพ่นหรือรดไม้ผล  จะช่วยไล่แมลงศัตรูพืชเร่งการติดดอก การเจริญเติบโต และเพิ่มความหวาน
    -ช่วยย่อยสลายปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก
    -ถ่านที่ใช้แช่ในน้ำน้ำควันไม้จะเป็นตัวปรับปรุงดินอย่างดีโดยการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในดินที่มีประโยชน์ต่อต้นพืช  เบสจากถ่านมีรูพรุนจากนวนมากและมีแร่ธาตุ สารอาหารอยู่ด้วยทำให้เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ในดินที่เป็นประโยชน์ต่อต้นพืช
    -การใช้น้ำส้มควันไม้กับต้นพืช ควรใช้เวลาเช้าหรือเย็นจะเกิดประโยชน์ต่อพืชมาก
    ประโยชน์ในการเกษตร
       ใช้ได้กับพืช ป้องกันกำจักศัตรูพืช / ช่วยติดดอกผลดก ช่วยเพิ่มผลผลิต ผลโตสีสดใส รสหวาน ลดโรคพืช เชื้อรา แผลเน่า ดินจะมีสุขภาพดีขึ้น  ฟื้นฟูดินเสื่อม  ใช้ร่วมกับสารเคมีได้ เช่น ยาคุมฆ่าหญ้า  ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง ฯลฯ  สามารถลดปริมาณการใช้สารเคมีลงครึ่งหนึ่ง ใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีช่วยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น  ฉีดระยะต้นเล็กและก่อนเก็บเกี่ยว  ช่วยให้คุณภาพและรสสชาติดีขึ้น  รวมทั้งชะลอการเหี่ยวเฉา
    หมายเหตุ
    1.ควรฉีดพ่นตอนเช้าหรือเย็น  จะมีประสิทธิภาพสูงสุด
    2.ควรฉีดพ่นบริเวณโคนต้นและดินที่ปลูก

    3.ใช้ 1 ช้อนโต๊ะประมาณ 10 ซีซี (1 ปี๊บ = น้ำ 20 ลิตร)
    4.เดือนหนึ่งไม่ควรฉีดเกิน 2-3 ครั้ง

    5.อย่าผสมและฉีดเกินอัตราที่กำหนด พืชจะเป็นอันตรายได้

    การใช้น้ำวู๊ดเวเนการ์ (น้ำส้มไม้)

    ชนิดพืช
    ระยะการใช้ – ประโยชน์ที่ได้รับ
    (ป้องกันโรค ติดดอก  ออกผล)
    วิธีการใช้น้ำวู๊ดเวเนการ์
    ผักต่าง ๆ ที่มีระยะการเพาะปลูกสั้น
    ก่อนหรือหลังการแตกยอดอ่อน
    ผสมน้ำ 1: 500 ส่วน

    (4-5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)
    ฉีดพ่น 5-10 วันต่อครั้ง
    หอม กระเทียม
    ช่วงต้นอ่อน
    ผสมน้ำ 1:800 ส่วน
    (2-3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)
    ฉีดพ่น 2-3 ครั้งต่อเดือน
    ผักมีหัวต่าง ๆ (หัวผักกาด กระชาย)
    หลังแยกหน่อ
    ผสมน้ำ 1:1,000 ส่วน
    (1-2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)
    ฉีดพ่น 5-10 วันต่อครั้ง
    พริก
    หลังแยกกล้า
    ผสมน้ำ 1:200-300 ส่วน
    (8-10 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)
    ฉีดพ่นเดือนละ 1 ครั้ง
    ข้าว
    ครั้งแรกผสมยาคุม – ฆ่าถึงตั้งท้อง
    ผสมน้ำ 1:200 ส่วน
    (10 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)

    ฉีดพ่น 2-3 ครั้งต่อเดือน
    ไม้ผล
    ช่วงใบอ่อนและใบแก่หรือราดโคลนต้น
    ผสมน้ำ 1:200  ส่วน
    (10 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)

    ราดโคลน 2-3 ครั้งต่อเดือน
    ไม้ดอก
    แตกใบอ่อน  ช่วงต้นแข็งแรงแล้ว
    ผสมน้ำ  1:500 ส่วน
    (4-5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)

    ฉีดพ่นเดือนละครั้ง
    พืชไร่
    ตั้งแต่ต้นอ่อนถึงก่อนเก็บเกี่ยว
    ผสมน้ำ 1:500 ส่วน
    (4-5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)
    ฉีดพ่น 2-3 ครั้งต่อเดือน
    ถั่วต่าง ๆ
    ช่วงต้นเล็กและก่อนออกดอก
    ผสมน้ำ 1:500 ส่วน
    (4-5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ปี๊บ)

    ฉีดพ่น 1-2 ครั้งต่อเดือน

ออกพรรษา

วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมปวารณาออกพรรษาในวันนี้ วันออกพรรษาตามปกติ (ออกปุริมพรรษา1) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย
การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะ เรียกว่า "ปวารณา"[1] จัดเป็นญัตติกรรมวาจาสังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาสสามารถว่ากล่าวตักเตือนและชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพื่อสามารถให้พระสงฆ์ที่ถูกตักเตือนมีโอกาสรับรู้ข้อบกพร่องของตนและสามารถนำข้อบกพร่องไปแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร[2]พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย[3]
นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4) [2]
วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4[3][4]
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น[5] โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์[6] พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์[7] ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน
สำหรับในปี พ.ศ. 2554 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคติ

วันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา  เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม[1] การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือได้ว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ"[2] โดยในปีถัดมา ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วราชอาณาจักร[3] ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยตั้งสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุราในวันเข้าพรรษาและในช่วง 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทย[4]
สำหรับในปี พ.ศ. 2554 นี้ วันเข้าพรรษาตรงกับ วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม ตามปฏิทินสุริยคติ

วันอาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนมิถุนายนหรือเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นี้ วันอาสาฬหบูชาจะตรงกับวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม ตามปฏิทินสุริยคติ
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ[2]ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์[3]
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)[4] โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501[5] กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา
สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นี้ วันอาสาฬหบูชาจะตรงกับ วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม ตามปฏิทินสุริยคติ

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หรือ วิศาขบูชา เป็น "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก, วันหยุดราชการ ในหลายประเทศ และ วันสำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ[1] เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก"วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน โดยในประเทศไทย ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทินจันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม[2] และในกลุ่มชาวพุทธมหายานบางนิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท [3]
วันวิสาขบูชานั้น ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน
วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน อินเดีย และศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, ประเทศศรีลังกา, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก[4] (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" ตามคำประกาศของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

อ่านแล้วโปรดคิดตาม

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บาง คนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ


"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีก ของมันเอง


"Obstacles are those frightful things you see
when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรค คือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง


"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,
and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น


"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว


"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่ง ใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน


"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้ง หมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา


"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด


"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย


"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความ สำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว


"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้


"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ที่มี


"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัล ของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา


"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"
- - George Bernard Shaw - -
คุณเห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"


"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่


"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น


"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของ ตัวเองเท่านั้น


"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".
- - Anonymous - -
พระเจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น


"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.
You must never run away from a problem.
Convince yourself that you will survive and get to the other side."
- - Margaret Ramsey * British literary agent - -
เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่ง ที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมัน ไปได้


"There is Nothing so Sweet as Love's Young Dreams!"
- - Anonymous - -
ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวาน เท่ากับความฝันในวัยเยาว์


"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."
- - Epictetus (55-135 C.E.) - -
สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ


"A person who lives right, and is right, has more power in their silence
than another has by words."
- - Phillips Brook - -
บุคคลที่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ใน ความเงียบก็แลมีอำนาจกว่าผู้อื่น


"Life is like a box of choclates."
- - F.Gump - -
ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลายสีสันและรสชาติ


"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง


"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น


"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."
- - Ralph waldo Emerson - -
อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง และตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์


"Learn from the mistakes of others.
You can't live long enough to make them all yourself."
- - Anonymous - -
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง


"This year's success was last year's impossibility."
- - Anonymous - -
ความ สำเร็จของปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา


"Who never made a mistake never made a discovery."
- - Soren Kierkegaard - -
คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่ง ใด


"Praise the bridge that carried you over."
- - George Colman - -
จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา


"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."
- - Anna Pavlova - -
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่าง ต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย


"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."
- - George Eliot - -
การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ


"The difference between the impossible and the possible
lies in a man's determination."
- - Tommy Lasorda - -
เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา


"If you don't stand for something, you'll fall for anything."
- - Anonymous - -
ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มหลวในทุกๆสิ่ง


"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."
- - Eleanor Roosevelt - -
ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่ง ที่คุณไม่ต้องการทำ


"A wise man will make more opportunities than he finds."
- - Francis Bacon - -
คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้


"We write our own destiny. We become what we do."
- - Madame Chiang Kai-Shek - -
ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็น ในสิ่งที่เราได้กระทำ


"Well done is better than well said."
- - Ben Franklin - -
การลงมือทำดีกว่าคำ พูดที่สวยหรู


"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."
- - Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -
ชีวิตผ่านไป อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป


Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.
- - H.Hesse - -
ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน


"Great minds must be ready not only to take opportunity, but to make them."
- - Colton - -
ความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แต่เตรียมพร้อมต่อ โอกาส แต่ยังพร้อมที่จะลงมือทำ


"Do or do not; there is no try."
- - Yoda - -
การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้พยายามแต่อย่างใด


"He who knows little often repeats it."
- - Thomas Fuller - -
ใครที่รู้ อะไรเพียงนิดหน่อยก็มักจะคุยโวถึงมัน


"Wealth is like Sea Water:The more you drink the more thirsty you get."
- - A.Schopenhauer - -
ความร่ำรวยเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมาเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น


"Progress always involves risk. You can't steal second with your foot on first."
- - Fredrick Wilcox - -
พัฒนาการจะมีเรื่องของความเสี่ยงมา เกี่ยวข้องด้วยเสมอ คุณจะไม่สามารถขโมยเบสสอง ได้เลย ถ้าเท้ายังแตะเบส 1 อยู่


"You don’t get harmony when everybody sings the same note."
- - Doug Floyd - -
คุณจะไม่สามารถหา ความกลมกลืนได้ เมื่อทุกคนร้องเพลงด้วยโน้ตตัวเดียวกัน


"Thinking: The talking of the soul with itself."
- - Plato - -
การคิด คือ การพูดของวิญญาณกับตัวมันเอง


"Nature is as complex as it need to be.... and no more."
- - Albert Einstein - -
ธรรมชาติซับซ้อนเท่าที่มันจำเป็น...ไม่มากกว่า นั้น


Heaven never helps the men who will not act.
- - Henry Bergson - -
สวรรค์ไม่ช่วยคนเกียจคร้าน


Move out man! Life is fleeting by.
Do something worthwhile, before you die.
Leave behind a work sublime,
that will outlive you and time.
- - Alfred A. Montepert - -
อันชีวิตคนเรา ช่างสั้นนัก
ต้องรู้จักทำประโยชน์ก่อนจะสาย
ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์หลัง ความตาย
มีความหมายคงอยู่ ตลอดไป


Seize the day. Make your lives extraordinary.
- - From The Dead Poets Society - -
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วชีวิตคุณจะไม่ธรรมดา


Only those who dare to fail greatly can ever achieve greatly.
- - Robert F. Kennedy - -
คนที่กล้าจะจะพ่ายแพ้เท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่


It is only in adventure that some people succeed in knowing themselves--in finding themselves.
- - Andr Gide - -
มีแต่ในการผจญภัย เท่านั้น ที่บางคนประสบความสำเร็จในการรู้จักตัวเอง นั้นคือ การค้นพบตัวเอง


If we do not find anything very pleasant, at least we shall find something new.
- - Voltaire - -
ถึง แม้ว่าเราจะไม่พบสิ่งที่พอใจ อย่างน้อย เราก็จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ


You can fool all the people some of the time, and some of the people all the time,
but you cannot fool all the people all the time.
- - Abraham Lincoln - -
คุณหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา และหลอกบางคนได้ตลอดเวลา แต่ คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา


Beware of small expenses; a small leak will sink a great ship.
- - Benjamin Franklin - -
จงระวังสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น รอยรั่วเล็กๆ อาจจะทำให้เรือใหญ่ล่ม


You know you're old when the candles cost more than the cake.
- - Bob Hope - -
คุณจะรู้ว่าคุณแก่ตัวก็ต่อเมื่อเทียนที่ต้องจุดในงานวันเกิดแพงกว่า เค้กวันเกิด


Age does not protect you from love. But love, to some extent, protects you from age.
- - Jeanne Moreau - -
อายุป้องกันคุณจากความรักไม่ได้ แต่ความรัก ในจำนวนที่พอเหมาะ ปกป้องคุณจากอายุได้


When you go in search of honey you must expect to be stung by bees.
- - Kenneth Kaunda - -
เมื่อคุณต้องการน้ำผึ้ง คุณต้องรู้ว่า คุณจะถูกผึ้งต่อย


If men cease to believe that they will one day become gods then they will surely become worms.
- - Henry Miller - -
เมื่อมนุษย์เลิกเชื่อว่าวันหนึ่งเค้าจะกลาย เป็นพระเจ้า เมื่อนั้น เค้าจะเป็นแค่หนอนตัวหนึ่งเท่านั้น


The ripest peach is highest on the tree.
- - James Whitcomb Riley - -
ลูกพีชที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่สูงที่สุดบนต้น


And he that strives to touch the stars,
Oft stumbles at a straw.
- - Edmund Spenser - -
คนที่พยายามจะสัมผัสดวงดาว มักจะพลาดกับสิ่งเล็กน้อย


It takes two flints to make a fire.
- - Louisa May Alcott - -
ต้องใช้หิน ถึง2ก้อนถึงจะเกิดไฟได้


We boil at different degrees.
- - Ralph Waldo Emerson - -
คนเรามีจุดเดือดไม่เท่ากัน


Let not the sun go down upon your wrath.
- - Ephesians 4:26 - -
อย่าให้พระอาทิตย์ตกลงไปพร้อมกับความโกรธของคุณ


Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.
- - Dr. Robert D. Ballard - -
จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริง และอย่ายอมแพ้


Keep your eyes on the stars, and your feet on the ground.
- - Theodore Roosevett - -
สายตาจับจ้องที่ดวงดาว และเท้ายังคงติดดิน


There is a magnet in your heart that will attract true friends. That magnet is unselfishness,
thinking of others first. When you learn to live for others, they will live for you.
- - Paramahansa Yogananda - -
มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจของคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้ แม่เหล็กชนิดนี้คือ ความไม่เห็นแก่ตัว
และการคิดถึงคนอื่นก่อน เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ


The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched.
They must be felt with the heart.
- - Helen Keller - -
สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ